Tuesday, November 27, 2012

คุก สถานที่แย่ๆ ที่ไม่มีใครอยากเข้าไปอยู่ข้างใน แต่จะยิ่งแย่กว่านั้นเข้าไปอีก ถ้าติดคุกที่ขึ้นชื่อว่า แย่ ที่สุดในโลก มีที่ไหนบ้าง มาดูกัน (ทยอยมาลงให้ทีละคุกนะคะท่านผู้อ่าน)





คุก ADX โคโลราโด อยู่บนเนื้อที่ 37 เอเคอร์ สร้างปี 1994 และกินเนสบุ๊ครับรองแล้วว่าเป็นคุกที่ปลอดภัยมากที่สุดในโลก มีเตียงทั้งหมด 490 เตียง คุกแห่งนี้ถูกออกแบบเพื่อกักขังนักโทษอันตราย  นักโทษกว่า 95% ที่ถูกส่งมาที่นี่ เป็นนักโทษที่มีประวัติความรุนแรงจากคุกที่อื่น 

นักโทษที่นี่ต้องอยู่ในห้องขังของตัวเองเป็นเวลาถึง 23 ชั่วโมงต่อวัน อีกหนึ่งชั่วโมงที่เหลือ พวกเขาจะได้รับอนุญาติให้ออกจากห้องขังได้ แต่อยู่ในห้องขังที่มีขนาดใหญ่กว่า นักโทษขนานนามกันว่า "สระน้ำว่างเปล่า" มีหน้าต่างบนเดียวกว้างแค่ 4 นิ้ว เท่านั้น แถมยังต้องอยู่คนเดียวอีกต่างหาก ช่วงสามปีแรก นักโทษจะไม่ได้พบกับใครเลย แต่ถ้าประพฤติตัวดี ก็จะใช้เวลานอกห้องขังได้นานขึ้น และ ถ้าโชคดี แถมยังทำตัวดี ก็จะถูกส่งไปคุกที่มีความปลอดภัยน้อยกว่า



         


ในห้องขังที่นักโทษใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในนั้นจะมีโต๊ะ เก้าอี้ และเตียงนอนให้ ห้องน้ำถูกออกแบบให้ปิดตัวถ้ามีการดึงออกจากผนัง ฝักบัวอาบน้ำเป็นแบบตั้งเวลา แต่...ในห้องขังอาจจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ด้วยก็ได้ เช่น กระจก โคมไฟ วิทยุ หรือแม้กระทั่งของหายากอย่างทีวี ถ้านักโทษอยากมีของเหล่านี้เขาต้องทำตัวดี และ นานๆ จะให้ทีเท่านั้น 



สำหรับอาหารถูกส่งให้นักโทษด้วยมือของผู้คุม ไม่มีโรงอาหารสำหรับทานรวมกัน คุกแห่งนี้มีกล้องจับความเคลื่อนไหว กล้องวงจรปิด ประตูเหล็กที่ควบคุมด้วยรีโมต 1,400 บาน รั้วคอนกรีตที่มีลวดหนาม สูง 12 ฟุต แถมไฟฟ้าแรงสูงให้ด้วย ยังไม่หมด ยังมี เลเซอร์จับความเคลื่อนไหว แผ่นตรวจจับแรงกด แถมด้วยสุนัข อยู่รอบๆรั้วของเรือนจำ ชนิดที่เรียกว่า แหกคุก เลิกคิดไปได้เลย

พัสดีที่นี่ขนานนามว่า "นรกเวอร์ชั่นสะอาด" นโยบายคุกแห่งนี้คือ กันนักโทษออกจากความรู้สึกอื่นๆ จากสิ่งแวดล้อม รวมทั้งแยกออกจากนักโทษคนอื่นด้วยเช่นกัน ด้วยนโยบายแบบนี้ นักโทษจะถูกปล่อยให้อยู่คนเดียว วันละ 23 ชั่วโมง บ่อยครั้งที่นำไปสู่ อาการประสาทหลอน สูญเสียความทรงจำ หรือ แม้กระทั่งพฤติกรรมที่ไวต่อความรู้สึก

ADX เป็นบ้านของนักโทษก่อการร้าย นักโทษอาชญากรรมร้ายแรง กว่า 400 คน รวมถึง นักโทษที่ทำการโจมตีตึกเวิร์ลเทรดเซนเตอร์ในปี 2001 ด้วย นักโทษชื่อเสียงกระฉ่อนก็มีมากมาย เช่น Unabomber Ted Kaczynski นักวางระเบิดไปรษณีย์ shoe bomber Richard Reid นักวางระเบิดที่ซุกในรองเท้า สายสืบรัสเซีย โรเบิร์ต แฮนเซน


ส่วนนาย โธมัส ซิลเวอร์สไตน์ นายคนนี้คือที่มาของ คำว่า Supermax ความปลอดภัยขั้นสุดยอด ติดคุกด้วยข้อหา ฆ่าอดีตผู้นำกลุ่มอารยัน เมื่อติดคุกแล้ว นายคนนี้ยังไม่หยุดฆ่าคนเพิ่ม เป็นสถิติส่วนตัว อีก 4 ศพ ว่ากันว่า นายคนนี้ เป็นคนที่ควบคุมไม่ได้เลยในคุกที่อื่น ก็เลยต้องปรับคุกที่นี่เพื่อนายคนนี้



คุกแห่งนี้ มีนักโทษมากมายที่ไม่เห็นคุณค่าของชีวิตคน จำนวนไม่น้อยที่ฆ่าคนในคุกอื่นที่พวกเขาเคยอยู่  แม้กระทั่งฆ่าผู้คุมเรือนจำ ต้องใช้โทษที่เด็ดขาดและรุนแรงสำหรับจัดการกับนักโทษพวกนี้ เดี๋ยวนี้ แค่ขู่ว่า จะส่งตัวไปเข้าห้องขังในเรือนจำ ADX เป็นมาตรการที่ทำให้ลดการฆาตกรรมในคุกที่อื่นได้เป็นอย่างดี




Sunday, November 18, 2012

Pete Cashmore ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเว็บล็อคข่าวไอทียอดฮิตอย่าง Mashable ซึ่งรับหน้าที่เขียนคอลัมน์เกี่ยวกับเครือข่ายสังคมและเทคโนโลยีให้ CNN.com ลงมือรวบรวมผลการสำรวจพฤติกรรมชาวเครือข่ายสังคมเพื่อประมวลเป็น "10 ความจริงน่าทึ่งของผู้ใช้เฟซบุ๊ก" ที่แม้จะเป็นการทำสำรวจในสังคมอเมริกัน แต่บางข้อก็พบได้บ่อยในสังคมไทยเช่นกัน
       
ตัวอย่างบางส่วนใน 10 ผลการสำรวจน่าสนใจที่ Cashmore ยกมาพูดถึงคือ 47% เคยโพสต์คำสบถแสดงอารมณ์บนหน้าเพจเฟซบุ๊ก ขณะที่ชาวเฟซบุ๊กดีกรีปริญญาซึ่งพูดคุยเรื่องเหล้ายาปลาปิ้งจะมีแนวโน้มมีเพื่อนมากกว่าคนที่ไม่พูดถึงแอลกอฮอล์บนเฟซบุ๊ก และชาวเฟซบุ๊ก 48% เข้าไปดูโปรไฟล์ของแฟนเก่าบ่อยครั้ง


1. เจ้านายและลูกน้องไม่ควรเป็นเพื่อนกันบนเฟซบุ๊กการสำรวจชาวอเมริกันกว่า 1,000 คนในโครงการ Responsibility Project ของกลุ่ม Liberty Mutual ในเดือนกุมภาพันธ์ 2010 พบว่าคอเฟซบุ๊กอเมริกันมากกว่าครึ่งคิดว่าเจ้านายและลูกน้องไม่ควรเป็นเพื่อนกันบนเฟซบุ๊ก แม้ว่าชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวันของคนไอทีจะคาบเกี่ยวกันมากขึ้น แต่คนไอทีก็ยังมองว่าควรมีเส้นแบ่งให้ชัดเจน และเจ้านายควรวางตัวให้ดีเพื่อจะได้ตัดสินพนักงานที่ความสามารถแท้จริงมากกว่าความสัมพันธ์ส่วนบุคคล โดย 62% มองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมหากเจ้านายตอบรับเป็นเพื่อนกับลูกน้องบนเฟซบุ๊ก
      
2. ลิงก์เว็บไซต์ลามกถูกแชร์บนเฟซบุ๊กมากกว่าปกติถึง 90%ความจริงข้อนี้ได้จากการศึกษาของ Dan Zarrella ผู้เชี่ยวชาญด้านเครือข่ายสังคมซึ่งพบว่าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคมปี 2010 ในบรรดาลิงก์เว็บไซต์ข่าวและบล็อกกว่า 12,000 ลิงก์ที่เขาศึกษา ปรากฏว่าลิงก์เว็บไซต์สยิวถูกแชร์หรือแบ่งปันในเฟซบุ๊กมากกว่าค่ามาตรฐานถึง 90% โดยลิงก์ที่มีหัวเรื่องในแง่บวกจะถูกแชร์มากกว่าหัวเรื่องด้านลบ
      
3. คนมีคู่บนเฟซบุ๊กมีความสุขมากกว่าคนโสดเดือนกุมภาพันธ์ 2010 เฟซบุ๊กใช้วันวาเลนไทน์เป็นวันเปรียบเทียบสถานะความสัมพันธ์หรือ relationship status กับความสุขของผู้ใช้แต่ละคน ปรากฏว่าคนที่ตั้งสถานะว่า "in relationships" หรือ "กำลังเริ่มความสัมพันธ์" นั้นโพสต์ข้อความแสดงอารมณ์เชิงบวกมากกว่าคนที่มีสถานะ "Single" ทำให้แปลได้ว่าคนมีคู่บนเฟซบุ๊กนั้นมีความสุขมากกว่าคนโสด และคนที่แต่งงานแล้ว (married) หรือหมั้นหมายแล้ว (engaged) จะมีดีกรีความสุขมากกว่ากลุ่ม"เพิ่งเริ่มคบหา" ที่น่าสนใจคือกลุ่มที่ตั้งสถานะว่า "open relationship" หรือที่แปลว่ายังไม่ผูกสมัครรักใครเป็นตัวตน กลับมีความสุขน้อยกว่าคนโสด

4. 21% บอกเลิกผ่านเฟซบุ๊ก
การสำรวจในเดือนมิถุนายนปี 2010 ในกลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊ก 1,000 คน (70% เป็นชาย) พบว่ากว่า 25% เคยถูกทิ้งทางเฟซบุ๊ก โดยส่วนใหญ่ถูกทำร้ายจิตใจด้วยการเปลี่ยนสถานะเป็น "โสด" ของคนรัก การสำรวจครั้งนั้นพบว่า 21% ของกลุ่มตัวอย่างเลือกที่จะตัดสัมพันธ์ด้วยการเปลี่ยนสถานะ ซึ่งโชคยังดีเมื่อพบว่าส่วนใหญ่เป็นการเลิกราธรรมดา ไม่ใช่การหย่าร้างของคู่สามีภรรยา
      
ยังมีการสำรวจอีกชิ้นที่พบว่า ผู้หญิงตกที่นั่งถูกตัดเยื้อใยผ่านเฟซบุ๊กน้อยกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงมีสถิติที่ 9% เทียบกับฝ่ายชายที่มีสัดส่วนถึง 24%
      
5. 85% ของผู้หญิงถูกเพื่อนในเฟซบุ๊ก"รำคาญ"
การสำรวจของกลุ่ม Eversave ซึ่งถูกเปิดเผยในเดือนมีนาคม พบว่าชาวเฟซบุ๊กหญิงกว่า 85% ยอมรับว่าเคยถูกเพื่อนบนเฟซบุ๊กรำคาญเคืองใจ โดยส่วนใหญ่บอกว่าถูกรำคาญด้วยข้อหา"บ่นตลอดเวลา" (63%) บางคนโดนข้อหา "พูดเรื่องการเมืองไม่พึงประสงค์" (42%) และ "คุยโวเกี่ยวกับชีวิตสมบูรณ์แบบ" (32%)
      
6. ครอบครัวเฟซบุ๊ก 25% ไม่ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเดือนมิถุนายนปี 2010 การสำรวจโดยนิตยสาร Consumer Reports พบว่า 1 ใน 4 ของครัวเรือนที่มีชื่อบัญชีใช้งานเฟซบุ๊กยังไม่ทราบหรือไม่ลงมือตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในเฟซบุ๊ก โดย 26% ของครอบครัวที่มีเด็ก มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เด็กมีความเสี่ยงตกอยู่ในอันตราย โดยเฉพาะภัยลักพาตัว ด้วยการโพสต์ภาพและชื่อของเด็กลงไป ซึ่งจะสามารถเปิดโอกาสให้โจรร้ายสามารถรู้ข้อมูลของเด็กได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
      
7. พ่อแม่ 48% เป็นเพื่อนกับลูกบนเฟซบุ๊ก
ข้อนี้ในเมืองไทยก็เห็นได้มาก โดยการสำรวจช่วงพฤษภาคม 2010 โดย Retrevo พบว่าพ่อแม่เกือบครึ่งที่ขอเป็นเพื่อนกับลูกในเครือข่ายสังคม ซึ่งเมื่อพ่อแม่กลุ่มตัวอย่างถูกถามว่า จะยินยอมให้ลูกลงชื่อใช้งานเฟซบุ๊กหรือเครือข่ายสังคมอื่นได้อายุเท่าใด ราว 26% ระบุว่าต้องรอให้มากกว่า 18 ปี โดย 36% บอกว่า 16-18 ปี อีก 30% บอกว่า 13-15 ปี เพียง 8% เท่านั้นที่บอกว่าต่ำกว่า 13 ปี

8. 47% สบถบน wallการสำรวจโดยบริษัท Reppler พบว่าผู้ใช้เฟซบุ๊ก 47% เคยโพสต์ข้อความสบถระบายอารมณ์ขุ่นมัวไว้บนวอลล์ หรือกระดานแสดงความเคลื่อนไหวในเฟซบุ๊ก โดยคำสบถยอดนิยมหนีไม่พ้น "F-word" หรือ F_ck นั่นเอง
      
9. 48% ดูโปรไฟล์แฟนเก่าบ่อยขึ้นผลการสำรวจนี้เป็นของ YouTango กลุ่มตัวอย่าง 48% ยอมรับว่าเข้าไปดูโปรไฟล์ของแฟนเก่าบ่อยครั้งกว่าเมื่อตอนยังคบกัน ผลการสำรวจนี้ถูกมองว่าเทคโนโลยีใหม่อย่างเครือข่ายสังคมเป็นตัวการควบคุมให้คนอกหักมีพฤติกรรมเช่นนี้ (อิอิ)
      
10. 36% ของคนเฟซบุ๊กอายุ 35 ลงไป เล่น Facebook, Twitter หลังมีเพศสัมพันธ์ผลการสำรวจนี้ถูกเผยแพร่ในเดือนตุลาคมปี 2009 โดย Retrevo ระบุว่าเครือข่ายสังคมกำลังกลายเป็นสิ่งที่สำคัญในวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ โดยพบว่าในคนอเมริกันที่มีอายุ 35 ปีลงไป จะเล่นทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก หรือส่งข้อความแชต (texting) หลังตะลุ่มตุ้มแช่กันแล้ว
      
       น่าตกใจที่การสำรวจในครั้งนั้นพบว่า 40% ของกลุ่มตัวอย่างเล่นทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และแชตขณะขับรถ อีก 64% บอกว่าทำขณะทำงาน อีก 65% บอกว่าใช้เป็นช่องทางสื่อสารระหว่างวันหยุด
ที่มา manager.co.th

มาดู..คนอายุ 256 ปี





ลี ชิง ยุน ได้ถูกอ้างว่าเป็นมนุษย์ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกถึง 256 ปี ทำให้หลายคนอาจเกิดความสนใจและเกิดคำถามว่าจะมีมนุษย์ที่มีอายุยืนยาวได้ เช่นนั้นจริงหรือ? และหากมีเขาดำรงชีวิตอย่างไรจึงได้มีชีวิตยืนยาวเช่นนั้นได้ แลกอดคิดตามไปต่อไม่ได้ก็คือ หากมนุษย์มีอายุยืนยาวอย่างนั้นแล้วจะมีความสุขจริงหรือเปล่าท่ามกลางสิ่ง แวดล้อมที่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายในช่วงเวลา 256 ปี ?

จึงใช้โอกาสในพื้นที่บทความนี้ไปค้นหาข้อมูลมาเขียนแบ่งปันให้ท่านผู้อ่าน ที่สนใจเรื่องนี้ได้พิจารณากัน เพื่อหวังว่าจะได้ประโยชน์และแง่คิดในการดำเนินชีวิตต่อไปไม่มากก็น้อย

ลี ชิง ยุน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ทานอาหารมังสวิรัติ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการป้องกันตัว และเป็นกุนซือด้านยุทธวิธี ตัวนายลี ชิง ยุน เองได้อ้างว่าเขาได้เกิดในปี พ.ศ. 2279 แต่ในขณะเกิดข้อพิพาทและข้อสงสัยเพราะมีบันทึกหลักฐานซึ่งระบุว่าเขาเกิดใน ปี พ.ศ. 2220 ซึ่งต่อมานายลี ชิง ยุนได้เสียชีวิตในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2476ดังนั้นไม่ว่าอายุขัยที่แท้จริงของนายลี ชิง ยุน จะอยู่ที่ 197 ปี หรือ 256 ปี ก็ถือว่าเป็นมนุษย์ที่มีอายุยืนมากที่สุดในโลก มากกว่านาง ฌานน์ กาลม็อง สตรีชาวฝรั่งเศส ซึ่งมีหลักฐานในการบันทึกวันเกิดว่าเกิดวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2418 และเสียชีวิตวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2540 ซึ่งมีอายุยืนถึง 122 ปี

ซึ่งมีข้อสงสัยว่านายลี ชิง ยุน อาจจะจำปีเกิดของตัวเองผิด หรือไม่ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นความจริง หรือไม่หลักฐานที่บันทึกที่พบตามมานั้นอาจผิดก็ได้ ?

เพราะก่อนที่นายลี ชิง ยุนจะเสียชีวิต 3 ปี ปรากฏว่าในปี พ.ศ. 2473 ศาสตราจารย์ วู ชุง-เฉียน ซึ่งเป็นคณะบดีของคณะศึกษาศาตร์แห่งมหาวิทยาลัยหมินกั๋วประเทศจีน ได้ค้นพบหลักฐานแสดงบันทึกว่า นายลี ชิง ยุน ได้เกิดในปี พ.ศ. 2220 เพราะมีหลักฐานว่ารัฐบาลแห่งจักรพรรดิ์จีนได้ฉลองยินดีกับนาลี ชิง ยุนเมื่ออายุครบปีที่ 150 และ ต่อมาก็ฉลองอีกครั้งเมื่ออายุครบปีที่ 200 เมื่อย้อนเวลากลับไปจากการเฉลิมฉลอง 2 ครั้ง จึงเชื่อได้ว่านายลี ชิง ยุน น่าจะเกิดในปี พ.ศ.2220 จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่กว่าที่จะสืบค้นได้ว่านายลี ชิง ยุนที่แท้จริงได้ว่าน่าจะมีอายุขัยยืนยาวถึง 256 ปี เพราะคนที่ร่วมฉลองวันเกิด 150 ปี หรือ 200 ปีต่างก็เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว

ในปี พ.ศ.2471 หนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทมส์ ได้เคยเขียนบันทึกผู้สูงวัยซึ่งอยู่เป็นเพื่อบ้านกับนายลี ชิง ยุน ต่างก็ได้ยืนยันตรงกันว่าปู่ของพวกเขารู้จักและเคยเห็นนายลี ชิง ยุน ตั้งแต่ปู่ของพวกเขายังเป็นเด็ก และหลังการเสียชีวิตของนายลี ชิง ยุน ในปี พ.ศ. 2479 นิตยสารไทมส์ และนิวยอร์ค ไทมส์ ได้รายงานว่านายลี ชิง ยุน มีภรรยา 23 คน และมีทายาทกว่า 200 คนเรื่อยมาตลอดระยะเวลา 256 ปี

นายลี ชิง ยุน เกิดที่มณฑลเสฉวน อายุ 10 กว่าปี ก็เริ่มเก็บสะสมสมุนไพรบนภูเขา ทานอาหารมังสวัรัติและเรียนรู้วิธีในการทำให้อายุยืนยาว ใช้ชีวิตอยู่กับการรับประทานสมุนไพร เขาใช้ชีวิตอย่างนี้ในช่วงชีวิต 40 ปีแรก ต่อมาเมื่ออายุ 71 ปี จึงย้ายไปอยู่ที่ตำบลไค เมืองฉงชิ่งเพื่อเข้าร่วมกับกองทัพจีนในการสอนวิชาศิลปะป้องกันตัวและในฐานะ เป็นกุนซือด้านกลยุทธ์ (ลองคิดดูว่าคนอายุ 71 ปีแล้วมาสอนวิชาศิลปะป้องกันตัวให้กองทัพชายฉกรรจ์ของจีนได้จะต้องมีสุขภาพที่แข็งแรงเพียงใด)

อาจารย์ดา หลิว เป็นอาจารย์สอนมวยไทเก็ก ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของนาลี ชิง ยุน ได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อ อาจารย์ลี ชิง ยุนอายุได้ 130 ปี ได้พบกับฤาษีที่มีอายุมากว่า 500 ปีบนภูเขาและสอนอาจารย์ลี ชิง ยุน ด้วยวิชามวย 9 มังกรปา-กว้าจ่าง (ชื่อมวยชนิดหนึ่งของสำนักบู๊ตึ้ง) และแนะนำสอนการหายใจควบคู่กับชี่กง ฝึกสอนการเคลื่อนไหวที่ประสานไปกับเสียงแบบต่างๆและรวมถึงข้อแนะนำเกี่ยวกับ อาหาร อาจารย์ดา หลิว ได้ระบุว่าอาจารย์ของเขาพูดว่าความอายุยืนของเขานั้นอยู่บนความจริงคือ

"การออกกำลังกายทุกวัน อย่างสม่ำเสมอ อย่างถูกวิธี และ ด้วยความจริงใจและบริสุทธิ์ สำหรับอายุยืนยาว 120 ปี"

ในปี พ.ศ. 2470 นายลี ชิง ยุน ได้ถูกเชิญโดยนายพลหยาง เซิน เพื่อให้มาพบเขาที่ตำบลวันในมณฑลเสฉวน และได้ถ่ายรูปที่นั่น โดยนายพลหยาง เซินได้สนใจและทึ่งกับความกระฉับกระเฉง ความแข็งแกร่ง และความองอาจของนายลี ชิง ยุน ที่มีอายุมากในขณะนั้นถึง 250 ปีแล้ว เพราะนายลี ชิง ยุน ในเวลานั้นยังเดินได้เป็นปกติ สายตาดีและมีผิวพรรณที่ดี สุขภาพแข็งแรง หลังตรง หนังตึง เส้นผมกับฟันยังเป็นของแท้ตามธรรมชาติ การตอบสนองและการพูดคุยเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม

หลังจากนั้นต่อมาหลังการเสียชีวิตของนายลี ชิง ยุน นายพลหยาง เซิน ได้ให้มีการตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับเบื้องหลังความเป็นมาและอายุของเขาและ เขียนออกมาเป็นรายงานและได้เผยแพร่ในเวลาต่อมาจนถึงทุกวันนี้

นายลี ชิง ยุน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ได้สนับสนุนและผลักดันให้ใช้ เห็ดหลินจือป่า, ผลโกจิ เบอร์รี่ (เก๋ากี้), โสมป่า, He Shou Wu (สมุนไพรจีนบำรุงเลือด ชื่อภาษาอังกฤษว่า Polygonum), และใบบัวบก ผสมผสานร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ

ด้วยความที่นายลี ชิง ยุน อยู่ในประเทศจีนและอยู่บนภูเขามีอากาศหนาว ลักษณะของสมุนไพรจึงเน้นหนักในเรื่องสมุนไพรฤทธิ์ร้อน เช่น เห็ดหลินจือ โสมป่า ฯลฯ (ซึ่งบางอย่างอาจไม่เหมาะกับอากาศในเมืองไทย)แต่อย่างไรก็ตามในทางวิทยา ศาสตร์ได้ค้นพบความสำคัญของสมุนไพรเหล่านั้นตามมาในภายหลัง

ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/48752.html